28 ตุลาคม 2564 : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยว่า ในปี 2563 ธปท. ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจระดับทักษะ ทางการเงินของคนไทยตามกรอบของ The Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) เป็นครั้งที่ 8 ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 11,901 ครัวเรือน เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทย และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดี
ภาพรวมผลการสำรวจปี 2563
ผลการสำรวจทักษะทางการเงิน 1 ปี 2563 แสดงให้เห็นว่า คนไทยมีพัฒนาการระดับทักษะทางการเงินดีขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 71.0 สูงกว่าการสำรวจครั้งก่อนในปี 2561 (ร้อยละ 66.2) และสูงกว่าค่าเฉลี่ยการสำรวจทักษะทางการเงินครั้งล่าสุดของ OECD ในปี 2563 2 (ร้อยละ 60.5) เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของทักษะทางการเงินทั้ง 3 ด้าน พบว่าคนไทยมีพัฒนาการดีขึ้นในทุกด้าน โดยความรู้ทางการเงินอยู่ที่ร้อยละ 62.9 (ร้อยละ 55.7 ในปี 2561)ปรับตัวดีขึ้น ในทุกหัวข้อ แต่ยังมีหัวข้อที่สามารถพัฒนาและส่งเสริมเพิ่มเติม ได้แก่
การคำนวณดอกเบี้ยเงินฝากทบต้น การกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และมูลค่าของเงินตามกาลเวลา ด้านพฤติกรรมทางการเงินอยู่ที่ร้อยละ 71.1 (ร้อยละ 67.8 ในปี 2561) โดยหัวข้อการจัดสรรเงินก่อนใช้และศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เหมาะสมมีคะแนนเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ดี หัวข้อการบริหารจัดการเงินเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเงินไม่พอใช้มีคะแนนลดลง ด้านทัศนคติทางการเงินอยู่ที่ร้อยละ 82.0 (ร้อยละ 78.0 ในปี 2561) มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะทัศนคติในเรื่องการวางแผนเพื่ออนาคตในระยะยาวเป็นหัวข้อที่มีพัฒนาการจากปี 2561 มากที่สุด ซึ่งความไม่มั่นคงทางรายได้จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 น่าจะมีส่วนทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตมากขึ้น เมื่อพิจารณาระดับทักษะทางการเงินตามมิติช่วงวัยพบว่าทุกวัยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในทุกด้านสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ โดย Gen Y มีระดับทักษะทางการเงินดีที่สุด เมื่อเทียบกับวัยอื่นเนื่องจากมีคะแนนด้านความรู้และพฤติกรรมทางการเงินสูง แต่มีคะแนนทัศนคติทางการเงินค่อนข้างน้อย
รองลงมา คือ Gen X โดยทัศนคติทางการเงินเป็นหัวข้อที่มีคะแนนสูงสุดเมื่อเทียบกับช่วงวัยอื่น Gen Z มีคะแนนทักษะทางการเงินค่อนข้างน้อย โดยมีคะแนนด้านพฤติกรรมและทัศนคติทางการเงินน้อยที่สุดในทุกช่วงวัยแต่มีพัฒนาการของระดับทักษะทางการเงินดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับคะแนนปี 2561 โดยเฉพาะด้านความรู้และพฤติกรรมทางการเงิน และ Gen Baby Boomer ขึ้นไป มีคะแนนทักษะทางการเงินน้อยที่สุดโดยมีคะแนนด้านความรู้น้อยกว่าช่วงวัยอื่น
สำหรับการสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมการออม พบว่าสัดส่วนผู้มีเงินออมในกลุ่มตัวอย่างเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 74.7 ในปี 2563 (จากร้อยละ 72.0 ในปี 2561) และคนส่วนใหญ่มีความตระหนักเรื่องการออมเงินเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน และการออมเพื่อการเกษียณ ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นของการเก็บเงินสำรองมากขึ้น
อย่างไรก็ดี มีเพียงร้อยละ 38 ที่มีเงินสำรองอยู่ได้เกิน 3 เดือนหากต้องหยุดงานกะทันหัน แสดงให้เห็นว่ายังมีความจำเป็นต้องส่งเส ริมการออมให้บรรลุเป้าหมาย ทั้งนี้ แรงจูงใจสำคัญในการออมมาจากการมีเป้าหมายหรือแผนที่ชัดเจนที่จะต้องใช้เงินในอนาคต แต่มีเพียงร้อยละ 19.7 ที่จัดสรรเงินเพื่อออมก่อนนำเงินไปใช้จ่ายจึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เป้าหมายการออมไม่สำเร็จ
การดำเนินการด้านการส่งเสริมความรู้ทางการเงินของ ธปท.
1. ส่งเสริมความรู้ในวงกว้างผ่านช่องทาง online platform Facebook ของ ศคง. 1213 และ เครือข่ายพันธมิตร เช่น อสม. รวมถึงสื่อท้องถิ่น ด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย สอดคล้องกับเหตุการณ์ในชีวิต ในหัวข้อเน้นประเด็นที่เป็นปัญหาการเงินเร่งด่วน เช่น การบริหารจัดการเรื่องหนี้ และประเด็นที่ควรพัฒนา/จุดอ่อน เช่น Digital Literacy ภัยการเงิน
2. ส่งเสริมให้มีการออมและวางแผนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง โดยมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินการ 2 โครงการหลัก ได้แก่ (1) โครงการ Fin. ดี We Can Do!!! สำหรับกลุ่มนักศึกษาอาชีวะ ที่ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวะศึกษา (สอศ.) จัดประกวดบนแนวคิด “ผลงานของคนอาชีวะเพื่อคนอาชีวะ” เป็นปีที่ 3
โดยมีกิจกรรมส่งเสริมความรู้ทางการเงินเพื่อกระตุกความคิดเรื่องการเงิน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจ และ (2) โครงการ Fin. ดี Happy Life!!! สำหรับกลุ่มวัยทำงาน แก่ตัวแทนประจำหน่วยงาน (Fin. Trainer) เพื่อนำไปขยายผลให้แก่พนักงานในหน่วยงาน ในรูปแบบการให้ความรู้ จัดกิจกรรม และเป็นพี่เลี้ยงตลอดโครงการ
3. สนับสนุนให้ประชาชนมีความพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ (Financial resilience) เช่น พัฒนาคู่มือ “รู้รอบเรื่องเงิน พร้อมเผชิญทุกวิกฤต” เผยแพร่บนเว็บไซต์ ศคง. 1213 และส่งผ่านความรู้แก่แรงงานกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากโควิดผ่านองค์กรพันธมิตรของสมาคมภาคธุรกิจเอกชนต่าง ๆ ในรูปแบบของอินโฟกราฟิก คลิปวีดิโอ หลักสูตรอบรมออนไลน์ บทความ ธปท. ให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในอันที่จะปลูกฝังและสร้างเสริมภูมิคุ้มกันทางการเงินแก่ประชาชนซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน