27 ตุลาคม 2564 : นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “MG EP เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นที่สองที่เรานำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการทำให้ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีสีสันมากยิ่งขึ้นและสร้างตัวเลือกให้กับผู้ที่สนใจในรถยนต์พลังงานทางเลือก อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของเอ็มจีในฐานะแบรนด์รถยนต์ผู้บุกเบิกและเอาจริงเอาจังกับการทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
จุดประกายให้คนไทยเปิดใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้รถให้สอดคล้องกับเทรนด์โลก หลังจากเปิดตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา เราได้เดินหน้าทำตลาด โดยเจาะทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่นำรถไปใช้ในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับการเจาะตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กรที่มองหารถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์การใช้งานตามลักษณะของกิจการนั้นๆ”
ล่าสุด เอ็มจี ได้บรรลุเป้าหมายอีกขั้น ในการเพิ่มสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้ขยายตัวสูงขึ้น อันจะเป็นหนึ่ง แรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ด้วยการส่งมอบรถ MG EP รวมกว่า 100 คัน ให้กับบริษัทชั้นนำในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ทีโอเอ เพอฟอร์มมานซ์ โค๊ทติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสีอุตสาหกรรม สีพ่นซ่อมรถยนต์ บริษัท โซล่าเอ็กซ์เพรส เทรดดิ้ง จำกัด ผู้ให้บริการออกแบบ จำหน่าย และติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมไปถึงธุรกิจรถเช่าในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวทั้งในภูเก็ต และหาดใหญ่
การที่รถ MG EP ได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากลูกค้ากลุ่มลูกค้าองค์กรที่เลือกใช้รถในการประกอบธุรกิจ เนื่องมาจากจุดเด่นของรถรุ่นนี้ ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน” ถือเป็นมาตรฐานขั้นต้นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่จะเข้ามาในประเทศไทยที่ไม่ใช่มีดีแค่ดีไซน์ แต่จะต้องตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้อย่างแท้จริง ด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ได้แก่
ขนาดของห้องโดยสารและพื้นที่ใช้สอย ที่กว้างขวางรองรับการบรรทุกทั้งคนและสิ่งของ สมรรถนะของ EV ที่ตอบสนองได้อย่างทันใจไม่ต้องรอรอบ ระบบความปลอดภัย ที่ให้มาอย่างครบครันเสริมความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของ ด้วยค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและ ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว
“นอกเหนือจากตัวรถที่เอ็มจีออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานได้จริงในทุกรูปแบบ พร้อมอรรถประโยชน์ที่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบครันแล้ว เรายังได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในทุกๆ มิติ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาและยกระดับการบริการหลังการขาย โดยมีช่างผู้ชำนาญงานด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประจำอยู่ทุกศูนย์บริการทั่วประเทศ ครอบคลุมไปถึงบริการ MG Mobile Service ตลอดจนการให้บริการแบบเฉพาะตามความต้องการและรูปแบบของแต่ละธุรกิจสำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กร
นอกจากนี้ เรายังให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมรองรับสังคมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มขั้น ด้วยการลงทุนสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) โดยเฉพาะหัวใจหลักอย่าง สถานีชาร์จประจุไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบัน เรามีจำนวนสถานีชาร์จรวมทั่วประเทศแล้วกว่า 800 แห่ง จำนวนนี้กว่า 115 แห่ง เป็นสถานีชาร์จที่เอ็มจี ลงทุนเอง ภายใต้ชื่อ MG Super Charge ที่ได้ติดตั้งในพื้นที่ศูนย์บริการที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศรวมถึงพื้นที่อื่นๆ ของหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้คนไทยเข้าใจและมั่นใจในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นในอนาคต” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว