6 ตุลาคม 2564 : ความผันผวนทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงสร้างผลกระทบต่อตลาดการเงินการลงทุนทั่วโลก บรรดานักลงทุนยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในการลงทุน และอัตราผลตอบแทนคาดหวังที่เปลี่ยนไปจากภาวะปกติ โดยสินทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์จะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา
การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset Class) อย่าง สินทรัพย์ตราสารทุนนอกตลาด หรือ หุ้นนอกตลาด (Private Equity) จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะโดยเฉลี่ยระยะยาวหุ้นโลกที่อยู่นอกตลาดสามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถึง 2.7%ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และผลตอบแทนของหุ้นนอกตลาดในตลาดเกิดใหม่และจีนสูงกว่านั้นมาก
ดร.ตรีพล ภูมิวสนะ Private Banking Business Head Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า “นอกจาก Private Equity จะมีศักยภาพในการสร้างความเติบโตให้พอร์ตการลงทุน และผลตอบแทนที่ดีในทุกภาวะเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยเปิดโอกาสให้กับธุรกิจที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงธุรกิจเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสามารถปรับตัวให้เข้ากับเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ได้รับการสนับสนุนแหล่งเงินทุนจากผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ในการพัฒนาธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ส่วนธุรกิจรูปแบบเดิม ก็จะได้รับการสนับสนุนทั้งในแง่ของการให้คำแนะนำ และการระดมทุนของบรรดานักลงทุนและพาร์ตเนอร์ เพื่อช่วยพัฒนานวัตกรรมให้สามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง”
รายงานของ Deloitte คาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของ Private Equity ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 5.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ Private Equity จะเป็นสินทรัพย์ทางเลือกมีความสำคัญมากในพอร์ตนักลงทุนทั่วโลก KBank Private Banking จึงขอแนะนำ 3 เรื่อง ที่นักลงทุนควรรู้เกี่ยวกับสินทรัพย์ประเภทนี้ ก่อนตัดสินใจลงทุน
1. ลงทุนในหุ้นนอกตลาด คาดหวังกำไรในระยะยาว
การลงทุนใน Private Equity คือ การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ยังไม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยส่วนมากจะเป็นบริษัทที่ก่อตั้งมาไม่นาน ยังไม่มีรายได้ หรือมีรายได้แล้วแต่ยังไม่มีกำไร จึงต้องใช้ช่องทางการระดมทุน ผ่านการขายหุ้นนอกตลาดให้กับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงและสามารถล็อกเงินลงทุนได้ในระยะยาว โดยนักลงทุนจะคาดหวังการทำกำไรในอนาคต เมื่อบริษัทนอกตลาดนำหุ้นเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือขายหุ้นต่อให้ผู้ลงทุนรายอื่น
ดร.ตรีพลอธิบายว่า “แนวทางการลงทุนในกองทุน Private Equity ในไทยจะเริ่มที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะนำเงินไปพักอยู่ในกองสินทรัพย์สภาพคล่องสูง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ก็จะทยอยถูกเรียกออกมาจากกองสินทรัพย์สภาพคล่องสูงนี้ ไปลงทุนในกองทุนหลัก ซึ่งก็จะลงในบริษัทต่าง ๆ ต่อไป
กองทุนมีระยะเวลาที่ได้มีการตกลงกันไว้ที่จะลงทุนในบริษัทต่าง ๆ จนครบและขายบริษัทเหล่านั้นเมื่อมีผลตอบแทนที่เหมาะสม และกองทุนหลักจะส่งผลตอบแทนกลับมายังกองทุนของบลจ. และบลจ. ก็จะส่งกำไรให้นักลงทุนเป็นลำดับถัดไป”
2. ประเมินราคาหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานจริง ราคาจึงแกว่งตัวน้อย
Private Equity เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าและมีความผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ในระยะยาว ด้วยราคาที่แกว่งตัวน้อย ช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตให้ลดลงและเนื่องจากเป็นการลงทุนในกองทุนนอกตลาด ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้อิงอยู่กับการเก็งกำไรรายวันจากนักลงทุน แต่ราคาจะถูกประเมินจากปัจจัยพื้นฐานจริงๆ ของบริษัท พร้อมกับมีที่ปรึกษา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเข้ามาช่วยให้คำแนะนำการลงทุนและคัดเลือกดีลหรือบริษัทที่มีความโดดเด่นต่อการลงทุน จึงทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างสม่ำเสมอกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วไป
ดร.ตรีพล ให้มุมมองเสริมว่า “สำหรับในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นปัจจุบัน การลงทุนใน Private Equity กลับมามีความน่าสนใจอีกครั้ง เนื่องจากหลายธุรกิจขาดสภาพคล่องและกำไรลดลง ทำให้มีบริษัทที่ต้องการขายและต้องการเพิ่มทุนจำนวนมาก ดังนั้น จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับการลงทุนใน Private Equity ที่จะสามารถเข้าไปซื้อบริษัทที่ดีในราคาที่ต่ำลงเพื่อที่จะนำมาเสริมศักยภาพให้เติบโตและสามารถขายในราคาที่สูงขึ้นได้”
3. ควรกระจายการลงทุนหลากหลาย และมีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญ
การลงทุนในกองทุน Private Equity ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยองค์ประกอบหลากหลาย ดร.ตรีพล แนะนำว่า “นักลงทุนต้องมีระยะเวลาการลงทุนที่นานประมาณ 7-10 ปี และกองทุนควรมีการกระจายลงทุนในหลากหลายธุรกิจ ในขณะเดียวกัน เนื่องจากกองทุน Private Equity เป็นการลงทุนในบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้การเข้าถึงข้อมูลทำได้จำกัด
ดังนั้น การมีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้ความสามารถในการเฟ้นหาธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตได้ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำธุรกิจ จึงมีความสำคัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กองทุนควรมีการแบ่งปันผลกำไรที่เหมาะสมระหว่างบริษัทผู้จัดการกองทุนและและนักลงทุนอีกด้วย”
“การลงทุนในกองทุน Private Equity เป็นสิ่งที่น่าจับตาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันราคาหุ้นโลกปรับตัวสูงขึ้น การกระจายความเสี่ยงเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพแต่ยังมีการเข้าลงทุนน้อยอยู่จึงมีส่วนช่วยสร้างการเติบโตของพอร์ตการลงทุนได้ ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนดังกล่าวยังเป็นการสนับสนุนให้ทั้งธุรกิจเก่าและใหม่มีเงินทุนในการพัฒนา ปรับตัว และสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังวิกฤตได้ต่อไป” ดร.ตรีพล กล่าวปิดท้าย