กรุงเทพฯ 24 สิงหาคม 2564 : บิลค์ วัน กรุ๊ป ผู้พัฒนาบริการซอฟต์แวร์บริหารธุรกิจและ ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ รับการลงทุนร่วมครั้งใหม่ จาก 3 พันธมิตร ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพในการทำธุรกิจให้เติบโตไปอีกขั้น ประกอบด้วย เอสซีจี (SCG) ผู้นำนวัตกรรมด้านวัสดุก่อสร้างของไทยและภูมิภาคอาเซียน กรุงศรี ฟินโนเวต (Krungsri Finnovate) บริษัทร่วมลงทุน (CVC) ในเครือกรุงศรี กรุ๊ป ผู้นำด้านการสนับสนุนและลงทุนในเทคโนโลยีนวัตกรรมและสตาร์ทอัพทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค และ บีซีเอช เวนเจอร์ส (BCH Ventures) ในกลุ่มบริษัท เบญจจินดา ผู้นำในการให้บริการเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิทัลโซลูชั่นในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
การลงทุนในครั้งนี้ เป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ ที่จะร่วมกันผลักดันให้กลุ่มซอฟต์แวร์บริการ (Software-as-a-Service) สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง บิลค์ วัน กรุ๊ป มีบริการครอบคลุมตั้งแต่ระบบบริหารทรัพยากรองค์กร (ERP) ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า (CRM) และบริการซอฟต์แวร์กลุ่ม Construction Technology เพื่อการบริหาร ต้นทุน-ระยะเวลา-คุณภาพ สำหรับโครงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งครอบคลุมการทำ Digital Transformation เชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้องตลอดทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม นำไปสู่การต่อยอดบริการเทคโนโลยีทางการเงิน (FinTech) ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ การได้พันธมิตรใหม่ เป็นผู้ให้บริการด้านโครงข่ายระบบสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ จะช่วยสนับสนุนให้โซลูชั่นของ บิลค์ วัน กรุ๊ป ขยายตัวได้อย่างเข้มแข็ง บนระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย เหมาะกับรูปแบบการทำงานในปัจจุบันและอนาคต
บิลค์ วัน กรุ๊ป เป็นธุรกิจเทคสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ที่มีประสบการณ์กว่า 16 ปีในการทำซอฟต์แวร์บริหารธุรกิจก่อสร้าง Pojjaman ก่อนจะขยายธุรกิจและสร้างนวัตกรรมรูปแบบธุรกิจใหม่ Builk.com แพลตฟอร์มสำหรับธุรกิจก่อสร้าง SMEs ต่อยอดมาทำธุรกิจด้าน Big Data ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และให้บริการ e-commerce ขายวัสดุก่อสร้างแบบ B2B ในชื่อ Yello ซึ่งมีฐานผู้ใช้งานโซลูชั่นต่างๆ รวมกว่า 40,000 กิจการในอาเซียน
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมก่อสร้างเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค ปัจจุบันกำลังปรับตัวนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดความเสี่ยงในการบริหารธุรกิจ การลงทุนใน บิลค์ วัน กรุ๊ป ถือเป็นการตอกย้ำนโยบายเติบโตด้วยนวัตกรรม ของบริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เพื่อพัฒนาดิจิทัล แพลตฟอร์ม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับอุตสาหกรรมก่อสร้าง
ตลอดทั้ง Eco System ครอบคลุมบริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง ผู้จัดจำหน่ายผู้รับเหมาก่อสร้าง เจ้าของโครงการ และลูกค้า ให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ซึ่งจะทำให้วงการก่อสร้างเติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้งจะช่วยเสริมให้ เอสซีจี สามารถต่อยอดธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่มี และสามารถขยายเครือข่ายไปในต่างประเทศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี ลงทุนในด้านดิจิทัล เทคโนโลยี มาอย่างต่อเนื่อง ตามกลยุทธ์ด้านการพัฒนานวัตกรรมของบริษัท โดยเล็งเห็นว่าดิจิทัล เทคโนโลยี จะเป็นสิ่งที่จะมาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมก่อสร้าง อย่างก้าวกระโดด
โดยการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการผสานจุดแข็งของเอสซีจี ซึ่งเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง ที่มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง และ บิลค์ วัน กรุ๊ป ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล แพลตฟอร์ม ที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี
การร่วมมือนี้จะทำให้ทุกๆ ภาคส่วนใน Eco System ของอุตสาหกรรมก่อสร้าง สามารถเชื่อมต่อและเข้าถึงสินค้าและบริการด้านการก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยโปรเจ็กต์แรก จะเริ่มที่การพัฒนาแพลตฟอร์มที่เสริมประสิทธิภาพให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ รวมถึงผู้รับเหมากลางและขนาดเล็ก แบบ End-to-End Solution ช่วยให้สามารถบริหารจัดการโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีและสินค้าวัสดุก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วผ่านเครือข่ายของเอสซีจี ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยควบคุมต้นทุนและระยะเวลาการทำงานได้อย่างมืออาชีพอีกด้วย”
นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด กล่าวว่า “ธุรกิจก่อสร้างนั้นนับเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย อันเนื่องมาจากมีโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ซึ่งบิลค์ วัน กรุ๊ป ก็เป็นเทคสตาร์ทอัพที่มีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในการใช้แพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทุกมิติเข้าไปเป็นกลไกสำคัญในธุรกิจกลุ่มดังกล่าวในประเทศไทยและอาเซียน
อีกทั้งยังพิสูจน์ให้เห็นถึงอัตราการเติบโตของธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาแม้ทางอุตสาหกรรมอาจได้รับผลกระทบจาก COVID-19 มาบ้าง และยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง กรุงศรี ฟินโนเวตเองก็มีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเติมและเสาะหาโอกาสในการร่วมงานกับสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ โดยใช้จุดแข็งที่มีในการเสริมสร้างศักยภาพและความร่วมมือระหว่างกัน
ดังนั้นการลงทุนในรอบ Series B+ กับ บิลค์ วัน กรุ๊ปในครั้งนี้ จึงช่วยเติมเต็มแผนกลยุทธ์ Living Ecosystem ของเครือกรุงศรีและจะสนับสนุนให้เกิดการขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือด้านการขยายฐานลูกค้าและสร้างคุณค่าแก่การบริการของธนาคาร เช่น โซลูชั่นในการชำระเงิน การให้สินเชื่อหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นๆ โดยอาศัยฐานข้อมูลที่มี เป็นต้น
รวมถึงการสร้างโอกาสในการช่วยให้กลุ่มลูกค้าธุรกิจของกรุงศรีกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ในธุรกิจก่อสร้างให้เข้าถึงเครื่องมือที่มีศักยภาพในการช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ กรุงศรียังสามารถใช้ความแข็งแกร่งในภูมิภาคอาเซียนของ กรุงศรีและ MUFG เพื่อช่วยส่งเสริมโอกาสการขยายธุรกิจในต่างประเทศ สอดคล้องกับเป้าหมายที่ บิลค์ วัน กรุ๊ป ได้วางไว้”
นายพิรชัย เบญจรงคกุล Investment Director บริษัท บีซีเอช เวนเจอร์ส จำกัด (BCHV) ในกลุ่มบริษัท เบญจจินดา กล่าวว่า แนวทางการลงทุนของ BCHV จะพิจารณาการลงทุนออกเป็น 2 แบบ คือ แบบระยะกลาง (1-5 ปี) และแบบระยะยาว (5 ปีขึ้นไป)โดยธุรกิจที่ BCHV ให้ความสนใจในการลงทุนส่วนใหญ่จะพิจารณา ตั้งแต่ผู้บริหารหรือ founder ที่ก่อตั้งบริษัท ตลอดจนทีมงานและประเภทธุรกิจที่ BCHV focus เช่นธุรกิจที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับ AI ในอนาคต
รวมทั้งอาจเป็นธุรกิจที่สามารถ ต่อยอดเพื่อ Synergy กับธุรกิจของกลุ่มบริษัทได้ด้วย โดยบีซีเอช เวนเจอร์ส เข้าลงทุนใน บิลค์ วัน กรุ๊ป ครั้งนี้ มองผลตอบแทนการลงทุนครั้งนี้ให้ผลตอบแทนในระยะกลาง
พร้อมทั้งต่อยอดแพลตฟอร์มบริการระหว่างผู้ร่วมทุน และบริษัทที่เข้าไปลงทุนได้ “BUILK มีความน่าสนใจทั้งในส่วนผู้ก่อตั้งที่มีประสบการณ์ความรู้ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจและทราบถึง Pain Point ของงานรับเหมาก่อสร้าง จึงเริ่มต้นด้วยการคิดหาพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อตอบสนองผู้รับเหมา
ซึ่งปัจจุบัน BUILK ก็มีพันธมิตรร่วมทุน ที่มีศักยภาพในทุกๆด้าน ซึ่งผมก็มองเห็นว่าการลงทุนในครั้งนี้ ตอบโจทย์การลงทุนของ BCHV ได้ครบ และยังสามารถ Synergy ร่วมกับกลุ่มบริษัทได้ในอนาคต และคาดว่าจะได้ผลกำไรจากการลงทุนในครั้งนี้ในระยะกลางภายใน 3 ปี”