10 ตุลาคม 2559 : “บล.KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (10-14 ต.ค.) มีความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งเรื่องการโต้วาทีและประชุม Fed , การประชุมผู้ผลิตน้ำมัน นักลงทุนจังรอดูสถานการณ์และปรับพอร์ตรับ Fed ขึ้นดอกเบี้ย แนะ “ถือ” รอดูความชัดเจนของตลาด หุ้นเด่น CPALL , EA , BANPU , KCE , MINT , SCC , SLP , TCAP มองกรอบดัชนีสัปดาห์นี้ที่ 1,477 – 1521 จุด”
ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ (10-14 ต.ค.) จะยังมีความผันผวนสูงจากหลายปัจจัย ซึ่งหลักๆจะเป็นทิศทางราคาน้ำมันดิบ การคาดการณ์ผลประชุม Fed และผลการโต้วาที (debate) ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ (เช้าวันจันทร์ที่ 10) ต้องดูว่าน้ำหนักของปัจจัยเหล่านี้จะมีผลไปในทางใดของตลาด ส่วนตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาต่ำกว่าคาด คงไม่ได้ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยที่คาดกันว่าจะเป็นเดือน ธ.ค. นั้นเลื่อนออกไป แต่ดัชนีฯอาจเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อน เพราะสถานการณ์แบบนี้นักลงทุนยังคงรอดูทิศทางมากกว่าเข้าซื้อหรือขาย
ทั้งนี้ตัวแปรสำคัญๆของตลาดในสัปดาห์นี้ บล.KTBST ให้น้ำหนักสำคัญกับ 3 ตัวแปร คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม ที่เพิ่มขึ้น 1.56 แสนตำแหน่งในเดือน ก.ย. แม้จะต่ำกว่าตลาดคาด แต่ผนวกกับตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ และการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed ยังบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้ อย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดย KTBST คาดว่าจะเป็นเดือน ธ.ค. การปรับตัวขึ้นของค่าเงินดอลล่าร์และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของหลายๆประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ สวนทางกับราคาทองคำที่ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ข่าวที่ว่าธนาคารกลางบางประเทศ (ญี่ปุ่น และ ECB) กำลังพิจารณาปรับลดวงเงิน QE ลง ทั้งทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯและการลดวงเงิน QE ถ้าเกิดจริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยยะต่อตลาดหุ้นของทุกประเทศ เพียงแต่ว่าตลาดหุ้นประเทศใดจะรักษากระแสเงินลงทุน (Fund Flow) จากต่างประเทศไว้ได้มากกว่ากัน
ปัจจัยต่อมาคือการกำหนดโควต้าของผู้ผลิตน้ำมัน บล.KTBST ประเมินว่าตัวแปรนี้มีผลต่อตลาดเพราะเป็นตัวแปรที่คาดทิศทางยากจากข่าวที่ออกมา จะมีการลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยแยกเป็นการลดกำลังการผลิตของ OPEC และ Non-OPEC 0.7 และ 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ผู้เข้าร่วมโครงการนี้ ที่เรารวบรวมมา สำหรับ Non-OPEC ประกอบด้วย รัสเซีย , โอมาน , อาเซอร์ไบจาน, คาซัคสถาน ที่มีกำลังการผลิต รวม 13.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 15% (รวมรวมโดย www.tradingeconomics.com ) ของความต้องการใช้น้ำมันดิบของโลกในไตรมาส 2 ของปี 2559 หรือเพียงบางส่วนของผู้ผลิตน้ำมัน หากการประชุม 12 ต.ค.ล้มเหลว หรือนักลงทุนเห็นว่าปริมาณการผลิตที่ลดลงไม่มีนัยยะต่อราคาน้ำมัน ก็จะมีผลต่อราคาน้ำมันดิบที่อาจร่วงกลับมาซื้อขายในกรอบ $40-45 เหรียญได้ แต่หากมีโอกาสที่จะตกลงกันได้สำเร็จ ราคาน้ำมันจะมีโอกาสขึ้นไปแตะ $55 เหรียญฯ ได้ในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คาดเดาได้ยากและมีผลกับตลาดหุ้น
ปัจจัยสุดท้าย คือ การซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจาก 2 ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะมีผลต่อการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติ บล.KTBST มองว่าจากการซื้อขายช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนกลุ่มนี้ ยังมีแนวโน้มที่จะขายมากกว่าซื้อ ดังนั้น หากตลาดหุ้นไทยไม่ได้เคลื่อนไหวในทางบวกต่อเนื่อง หรือ sideway จะเร่งให้มีการขายหุ้นออกมามากขึ้น
ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ปัจจัยหลายตัวที่ซับซ้อนดังที่กล่าวข้างต้น และไม่ได้เกิดในเวลาเดียวกัน จึงคาดว่านักลงทุนน่าจะรอให้ปัจจัยเหล่านี้มีความชัดเจน การปรับพอร์ตรับ Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. น่าจะยังดำเนินต่อ และอาจเห็นนักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อขายหุ้นเป็นให้เห็นบ่อยขึ้นตอกย้ำว่าปัจจัยบวกตัวสำคัญของตลาดหุ้นคือแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ กำลังน้อยลงไปทุกที หากไม่ได้นักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาช่วยซื้อในสัปดาห์นี้ SET Index อาจปรับตัวลงมากกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา”
“การลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้ จึงประมาทไม่ได้ แม้เราไม่ได้มองตลาดเลวร้าย แต่ความไม่แน่นอนในเรื่องสำคัญๆทำให้เรามองว่าไม่ต้องรีบซื้อหรือขาย หรือแนะนำให้ “ถือ” ไว้ ซึ่งภาพในทางเทคนิคเอง ก็ส่งสัญญาณว่าจะมีการพักฐานยกเว้นว่าจะบวกในวันจันทร์ ส่วนนักเก็งกำไรช่วงสั้นๆ ควรเลือกหุ้นเข้าลงทุนลักษณะเก็งกำไร โดยพิจารณาจากข่าวบวกเฉพาะตัว เก็งงบไตรมาสสาม และหุ้นที่ผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ดี โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในสัปดาห์นี้ที่ 1,477 – 1521 จุด”
สำหรับหุ้นที่น่าลงทุนสัปดาห์นี้ได้แก่ หุ้นที่คาดจ่ายเงินปันผลดี สม่ำเสมอ : DIF , TMT หุ้นที่มีรายได้-กำไร ไม่แกว่งตัวตามตลาด : CPALL , EA หุ้นกลุ่มส่งออก หรือรายได้อิงดอลล่าร์ : BANPU , KCE , MINT หุ้นในพอร์ตที่ บล.KTBST วิเคราะห์ : SCC , SLP , TCAP หุ้นที่มีประเด็นบวกอื่นๆ หรือราคาลงมามาก : UNIQ