12 พฤษภาคม 2564 : ttb analytics แนะรัฐ เสริมแนวทางการฉีดวัคซีนเชิงรุกกระจายสู่กลุ่มเป้าหมาย High mobility ควบคู่กลุ่มเสี่ยงสูงและผู้สูงอายุ และเร่งสปีดการฉีดเพิ่มคาดช่วยลดอัตราการแพร่เชื้อได้มากขึ้น และส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว ลดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจได้ 5.7 หมื่นล้านบาท
ชงแนวทางการกระจายวัคซีนใหม่ “ฉีดวัคซีนเชิงรุก” เพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านสาธารณสุขและเศรษฐกิจ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังมีความเสี่ยงจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แม้เริ่มมีการทยอยฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่เดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ในเบื้องต้นมีประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 1.2 ล้านคน หรือร้อยละ 1.8 ของประชากร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มมีความเสี่ยงสูงที่มีโอกาสติดเชื้อ อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้อยู่ในพื้นที่แพร่ระบาดสูง เช่น คลัสเตอร์ตามชุมชน
โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) มองโจทย์ท้าทายในขณะนี้คือ ทำอย่างไรให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงได้เร็ว ขณะเดียวกันสามารถทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ให้ดียิ่งขึ้นคือ แนวทางการกระจายวัคซีนเชิงรุก (Targeted Approach) แก่ประชากรที่เหมาะสม โดยอาศัยปัจจัยการเคลื่อนไหว (Mobility)
ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละกลุ่มประชากรในประเทศ ล้วนต่างมีพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับอาชีพและช่วงอายุ จึงทำให้แต่ละกลุ่มประชากรมีโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อและมีความสัมพันธ์ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไป การประเมินรูปแบบการกระจายวัคซีนเชิงรุก โดยอาศัยเกณฑ์การเคลื่อนไหว (Mobility) สามารถแบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19 ตามลักษณะพฤติกรรมการพบปะผู้คนและการเดินทาง ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุ่ม High Mobility จำนวน 20.2 ล้านคน ประกอบไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ พนักงานขาย พนักงานขนส่ง พนักงานบริการ จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและโอกาสที่จะติดเชื้อหรือแพร่เชื้อสูง เนื่องจากมีความจำเป็นต้องพบปะผู้คนจำนวนมาก และเป็นกลุ่มที่มีส่วนในกิจกรรมเศรษฐกิจ ซึ่งหลัก ๆ เป็นภาคการค้าและบริการคิดเป็นสัดส่วนกว่า 62% ของจีดีพี
2) กลุ่ม Medium Mobility จำนวน 6.9 ล้านคน เป็นกลุ่มของพนักงานออฟฟิศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทให้พนักงานส่วนหนึ่งทำงานที่บ้าน (Work from home) สามารถลดความหนาแน่นในที่ทำงานได้ จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและโอกาสที่จะติดเชื้อหรือแพร่เชื้อได้น้อยกว่ากลุ่มแรก
3) กลุ่ม Low Mobility จำนวน 39.3 ล้านคน ได้แก่ ผู้สูงอายุ (อายุมากกว่า 60ปี) เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี รวมถึงแรงงานในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ และเกษตรกร จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงและโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อค่อนข้างต่ำ ซึ่งการแบ่งกลุ่มผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อนำมาสู่แผนการกระจายวัคซีนใน 3 แนวทาง คือ
3.1 เน้นฉีดกลุ่ม Low Mobility เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับแผนการกระจายวัคซีนของภาครัฐในบางส่วน ที่มีการเน้นฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ 3.2 เน้นฉีดกระจายทุกกลุ่ม (ปูพรม) ซึ่งเป็นแนวทางล่าสุดที่ภาครัฐมีแนวโน้มจะปรับใช้ 3.3 เน้นฉีดกลุ่ม High Mobility ควบคู่ไปกับกลุ่มเสี่ยงสูงและผู้สูงอายุ โดยการกระจายการฉีดวัคซีนแบบเชิงรุกให้กับผู้ที่ทำงานในสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงและโอกาสที่จะติดเชื้อหรือแพร่เชื้อสูง เช่น สถานที่ทำงาน โรงงานห้างสรรพสินค้า ตลาด ร้านค้า และงานบริการต่าง ๆ
หนุนฉีดวัคซีนเชิงรุก “กลุ่ม High Mobility ควบคู่ไปกับกลุ่มเสี่ยงสูงและผู้สูงอายุ” ส่งผลให้ปลดล็อคเศรษฐกิจเร็วขึ้น
ภายใต้กรอบแผนการกระจายฉีดวัคซีน 300,000 โดสต่อวันผลของการวิเคราะห์ที่ประยุกต์แบบจำลองทางระบาดวิทยา (SIR)แสดงให้เห็นว่าการกระจายวัคซีนสามารถทำให้ยอดผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม2564 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวทางการกระจายวัคซีนในแต่ละกลุ่มพบว่ามีความแตกต่างของจำนวนผู้ติดเชื้อ โดยพบว่า แนวทางที่เน้นการฉีดกลุ่ม LowMobility ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ 3,600คนต่อวัน
หลังจากนั้นในไตรมาสแรกปี 2565 ถึงจะเริ่มเห็นตัวเลขลดลงอย่างชัดเจนอีกทั้งจำนวนผู้ได้รับวัคซีนสะสมในกลุ่ม Low Mobility ณ สิ้นปี 2564 จะอยู่ที่ 26.3ล้านคนจากจำนวนประชากรในกลุ่มนี้ที่มีถึง 39 ล้านคนและที่น่าสนใจคือการฉีดนำร่องด้วยกลุ่ม Low Mobility ส่งผลให้ประชากรในกลุ่มHigh Mobility ที่ได้รับวัคซีนจะมีเพียง 13.9 ล้านคนเท่านั้นเทียบกับประชากรที่มีอยู่ถึง 20.3 ล้านคนในกลุ่มนี้ในขณะที่แนวทางเน้นฉีดแบบปูพรม พบว่า ยอดผู้ติดเชื้อ ณ ธันวาคม 2564 จะอยู่ที่1,600 คนต่อวัน น้อยกว่าการฉีดเน้นกลุ่ม Low Mobility ถึงกว่าร้อยละ 50
เมื่อวิเคราะห์เพิ่มเติมพบว่า หากใช้แนวทางเน้นฉีดวัคซีนเชิงรุกกล่าวคือ การฉีดกลุ่ม High Mobility ควบคู่กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง(รวมผู้มีโรคประจำตัว) ซึ่งเป็นแนวทางการฉีดวัคซีนของภาครัฐในขณะนี้จะทำให้แนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อทยอยลดลงได้มากเช่นกันซึ่งคาดว่ายอดผู้ติดเชื้อจะอยู่ที่ 600 คนต่อวัน ในเดือนธันวาคม 2564 ทั้งนี้การฉีดวัคซีนเชิงรุกดังกล่าวในภาพรวมจะทำให้ประชากรในแต่ละกลุ่มได้รับวัคซีนมากกว่า โดยกลุ่ม High Mobility ที่มีจำนวนประชากร 20.3 ล้านคน และกลุ่มMedium Mobility จำนวน 6.6 ล้านคนจะได้รับวัคซีนครอบคลุมประชากรทั้งหมดภายในสิ้นปี 2564
นอกจากนี้ แนวทางเลือกฉีดวัคซีนในแต่ละกลุ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน กล่าวคือ หากใช้แนวทางการฉีดให้กลุ่ม Low Mobility ก่อนจะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวในเดือนธันวาคม 2564และจะก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจในภาคการค้าและบริการราว 8.96หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงกว่ากลุ่มอื่น
อย่างไรก็ดีหากใช้แนวทางฉีดเชิงรุกตามกลุ่มเป้าหมาย (Targeted Approach)คาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาเริ่มฟื้นตัวเร็วขึ้นประมาณเดือนตุลาคม 2564และความสูญเสียทางเศรษฐกิจในภาคการค้าและบริการจะลดลงอยู่ที่ 6.46หมื่นล้านบาทหรืออาจกล่าวได้ว่าการใช้แนวทางการฉีดเชิงรุกจะทำให้ความสูญเสียน้อยลงกว่าฉีดกลุ่ม Low Mobility ถึง 2.5 หมื่นล้านบาท
เร่งสปีดฉีดวัคซีนวันละ 5 แสนโดส ช่วยลดยอดผู้ติดเชื้อได้มากและลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้น หากเร่งปริมาณการฉีดวัคซีนโดยเพิ่มจาก 3 แสนโดสต่อวัน เป็น 5 แสนโดสต่อวัน ซึ่งสอดคล้องกับแผนการฉีดวัคซีนของภาครัฐล่าสุดกำหนดเป้าหมายอยู่ที่ 15 ล้านโดสต่อเดือน จะทำให้แนวโน้มยอดผู้ติดเชื้อลดลงในอัตราเร่งและเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้ โดยยอดผู้ติดเชื้อ ณ เดือนธันวาคม มีจำนวนต่ำกว่า 100คนต่อวัน ซึ่งส่งผลให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจในภาคการค้าและบริการอยู่ที่ 5.63หมื่นล้านบาท
สำหรับกรณีเลือกฉีดกลุ่ม Low mobility ก่อนซึ่งจะเริ่มทยอยฟื้นตัวในช่วงเดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไปแต่หากเลือกใช้การฉีดเชิงรุกแก่กลุ่ม High Mobility ควบคู่กับฉีดกลุ่มเสี่ยงความสูญเสียจะน้อยกว่า โดยอยู่ที่ 3.22 หมื่นล้านบาทและกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป หากเทียบกับกรณีการเร่งฉีดวัคซีนเร็วขึ้น 5 แสนโดสต่อวัน ในกลุ่มเชิงรุกกับการฉีดตามแผน 3 แสนโดสต่อวัน ในกลุ่ม Low Mobility พบว่าจะช่วยลดความสูญเสียได้เพิ่มขึ้นถึง 5.7 หมื่นล้านบาทและเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในเดือนสิงหาคม 2564
ดังนั้นแนวทางการฉีดเชิงรุก (Targeted Approach) พร้อมทั้งเร่งสปีดการฉีด 5แสนโดสต่อวันจะส่งผลทำให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจลดลงและช่วยเร่งระยะเวลาการฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้ การวิเคราะห์ข้างต้นอยู่บนสมมุติฐานว่ามีการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3อันเป็นผลมาจากการผ่อนคลายมาตรการทางสังคมภายหลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศปรับตัวลดลง ยิ่งไปกว่านั้นการฉีดวัคซีนจะดำเนินเป็นไปตามแผนที่มีอยู่ในปัจจุบันซึ่งมีการวางแผนให้ครอบคลุมทั้งบุคลากรทางแพทย์ที่อยู่ในกลุ่ม High Mobilityและผู้สูงอายุที่อยู่ในกลุ่ม Low Mobilityตลอดจนผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวซึ่งกระจายอยู่ทั้ง 3 กลุ่มแล้ว ในช่วงเดือนมิถุนายนและในเดือนกรกฎาคม
การฉีดวัคซีนจะเริ่มกระจายสู่ประชากรทั่วประเทศโดยจะเริ่มเห็นผลต่อการควบคุมการระบาดได้ในเดือนสิงหาคมนอกจากนี้ การเร่งฉีดวัคซีนจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเร็วขึ้นโดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน กับ Mobility โดยประเทศที่มีสัดส่วนการฉีดวัคซีนต่อประชากรยิ่งมาก Mobilityจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนฉีดวัคซีน เช่น อิสราเอล สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เป็นต้น
สะท้อนถึงกิจกรรมเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาโดยสรุป การควบคุมการแพร่ระบาดไม่สามารถกระทำได้จากภาคส่วนใดส่วนหนึ่งแต่ต้องเป็นการร่วมมือกันในทุกภาคส่วนในด้านต่าง ๆ ไปพร้อม ๆ กันตั้งแต่การดูแลป้องกันตัวเองลดความเสี่ยงในการติดเชื้อมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเชิงรุก การแก้ไขดูแลปัญหาผู้ติดเชื้อตามโรงพยาบาลและสถานที่จัดไว้รวมไปถึงการกระจายและจัดการวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปในเชิงรุกให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ย่อมช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและยังช่วยลดความเสียหายทางเศรษฐกิจให้น้อยลงทำให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ภาคธุรกิจฟื้นได้เร็วขึ้นและรัฐสามารถใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นฟูประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น