21 เมษายน 2564 : นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นหลังการฉีดวัคซีนได้ดำเนินไปในวงกว้าง โดยในช่วงที่ผ่านมาประเทศแกนหลักต่างได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวม
อย่างไรก็ดี ในฝั่งของรัฐบาลจีนได้ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังเข้มงวดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Policy Normalization) อีกทั้งยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน ส่วนรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตรียมออกแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อมุ่งสร้างงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมาโดยเร็วเช่นกัน ซึ่งจากทิศทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจของ 2 ประเทศมหาอำนาจสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้เพิ่ม Share Class ใหม่ในกองทุน K-CHINA และ K-USA ได้แก่ กองทุนเปิดเค ไชน่า หุ้นทุน-A ชนิดสะสมมูลค่า (K-CHINA-A(A)) และกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน ชนิดเพื่อการออม (K-USA-SSF) เพื่อเติมเต็มให้ครบทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกเป้าหมายของการลงทุน โดยเปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากองทุน K-CHINA ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากขนาดกองทุนกว่า 20,600 ล้านบาท ถือเป็นกองทุนหุ้นจีนและกองทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม (ที่มา: บลจ.กสิกรไทย ณ 16 เม.ย. 64) อย่างไรก็ดี กองทุน K-CHINA-A(A) เป็นกองทุนชนิดสะสมมูลค่า ซึ่งเมื่อกองทุนได้รับผลตอบแทนก็จะถูกนำกลับเข้าไปบริหารต่อเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อไปในอนาคต
สำหรับความน่าสนใจของกองทุนอยู่ที่การลงทุนในหุ้นจีนทุกชนิด (All China) ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งในประเทศ (เซิ่นเจิ้น, เซี่ยงไฮ้, ฮ่องกง) และต่างประเทศ (สหรัฐฯ, ไต้หวัน) ทำให้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนสูง โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – China Fund, Class JPM China I (acc) - USD เน้นลงทุนในหุ้นจีนที่เติบโต (Growth) คุณภาพสูง (High Quality) และอยู่ในกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Economy) อาทิ Alibaba, Tencent และ Meituan-Dianping
ทั้งนี้ กองทุนหลักบริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี สามารถสร้างผลการดำเนินงานย้อนหลังได้อย่างโดดเด่นจนได้รับการจัดอันดับ 5 ดาวจาก Morningstar และติดอันดับ Top 10 จากกองทุนหุ้นจีนกว่า 167 กองทุนทั่วโลก (ที่มา: Morningstar ณ มี.ค. 64)
สำหรับกองทุน K-USA-SSF มีความน่าสนใจจากการเข้าลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำระดับโลกในตลาดสหรัฐฯ ที่สอดรับกับกระแสยุคดิจิตอล ซึ่งมีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds US Advantage Fund – l Shares เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีศักยภาพสูงอย่าง Amazon, Twitter, Spotify, Veeva Systems และ Square ซึ่งทีมบริหารกองทุนจะใช้กลยุทธ์ Bottom-up Approach ในการเลือกหุ้นเป็นรายตัว (Stock Selection) ทั้งนี้ กองทุนหลักสามารถทำผลงานได้ดี โดยใน 1 ปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 87.25% ต่อปี เอาชนะดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 56.35% ต่อปี (ที่มา: Morgan Stanley ณ 31 มี.ค. 64)
“บลจ.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อทั้ง 2 ตลาด จึงอยากแนะนำให้ผู้ลงทุนที่เชื่อมั่นและมองเห็นในศักยภาพของทั้ง 2 ประเทศ ได้เข้ามาลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย มีกองทุน K-CHINA และ K-USA ครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกองทุน K-CHINA-A(A) และ K-USA-A(A) สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการสะสมมูลค่าเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่มากขึ้น กองทุน K-CHINA-A(D) และ K-USA-A(D)
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการได้รับเงินปันผลระหว่างการลงทุน รวมถึงกองทุนลดหย่อนภาษีที่มาในรูปแบบของ SSF และ RMF ทั้ง K-CHINA-SSF และ K-USA-SSF สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะยาว 10 ปีขึ้นไป และกองทุน K-CHINA-RMF และ K-USA-RMF สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงสามารถเลือกลงทุนได้ตามความต้องการ ตามไลฟ์สไตล์ และตามเป้าหมายของการลงทุน” นายนาวินกล่าว
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ผ่าน App K PLUS, K-My Funds, ธนาคารกสิกรไทย หรือ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางการลงทุนข้างต้น หรือ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888