25 กุมภาพันธ์ 2564 : นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เผยถึงแผนการดำเนินงานปี 2564 บมจ.มั่นคงเคหะการ เตรียมเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,347 ล้านบาท ยังเน้นการชูจุดเด่นด้านทำเล รวมถึงแนวคิดภายใต้คอนเซ็ปต์ “สุขภาวะที่ดี” (Well-being) ที่มุ่งพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและรสนิยมของผู้บริโภคมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบดีไซน์ ฟังก์ชั่น สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในโครงการ ในส่วนของ “พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์” ผู้พัฒนาโครงการบาง “บางกอกฟรีเทรดโซน” บนถนนบางนา-ตราด กม.23 จะก่อสร้างแล้วเสร็จเต็มพื้นที่ในไตรมาส 2 ของปี 2564
รวมถึงมีแผนขยายโครงการเพิ่มอีก 2 โครงการ บนทำเล ถนนเทพารักษ์ และถนนบางนา-ตราด กม.19 ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนา โดยจะมีพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นประมาณ 120,000 ตารางเมตร ด้านโครงการ “รักษ” ที่พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบแล้ว และยังมีแผนเชิงรุกเน้นสร้างการรับรู้และทำตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งล้วนเป็นกุญแจสำคัญเพื่อสนันสนุนให้รายได้จากการให้เช่าและบริการยังคงมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง
“จากแผนดังกล่าวที่วางเอาไว้ จะเล็งเห็นได้ว่าบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พัฒนาธุรกิจ เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Development Roadmap) คือปรับสัดส่วนกำไรของทั้ง 2 ฝั่งอยู่ที่ 50/50 ภายใน ปี 2564” นายวรสิทธิ์ กล่าว
สำหรับผลประกอบการ ปี 2563 (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563) บริษัทและบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงานจำนวน 3,056.93 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (Real Estate) จำนวน 2,530.40 ล้านบาท หากพิจารณาเฉพาะรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาลดลงเพียง 6.37% ในส่วนรายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ (Service & Recurring Income) จำนวน 523.48 ล้านบาท โดยเฉพาะรายได้จากโครงการ “บางกอกฟรีเทรดโซน” (Bangkok Free Trade Zone (BFTZ) ซึ่งหากคิดรวมพื้นที่ที่ขายเข้ากองทรัสต์อีก 130,000 ตร.ม. จะส่งผลให้รายได้ฝั่ง Service & Recurring Income มีอัตราเติบโตมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปี 2562
เมื่อรวมกับโครงการ “พาร์ค คอร์ท สุขุมวิท 77” (Park Court Sukhumvit 77) ที่แม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ยังสามารถสร้างรายได้จำนวน 374.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.08 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.7% และมีอัตราการเช่า (Occupancy rate) มากกว่า 85% สำหรับ “กองทรัสต์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล” (PROSPECT) ได้มีการจัดตั้งเป็นผลสำเร็จ มูลค่ารวม 3,700 ล้านบาท ในขณะที่โครงการ “รักษ” (RAKxa) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม หลังเปิดบริการเพียง 2 เดือน มีค่าสมาชิกกว่า 40 ล้านบาท
“ในปีที่ผ่านมานับเป็นปีที่มีความท้าทายเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยปัจจัยลบต่างๆ โดยเฉพาะสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมเป็นวงกว้างไปทั่วโลก สำหรับ มั่นคงฯ แม้ในส่วนธุรกิจฝั่งเพื่อขายจะมีอัตราการเติบโตที่ลดลง แต่ฝั่งธุรกิจเพื่อเช่าและบริการยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนับเป็นการตอกย้ำถึงกลยุทธ์การดำเนินแผนธุรกิจเพื่อกระจายรายได้และลดความเสี่ยง ซึ่งบริษัทฯ มองว่ามาถูกทางแล้ว
โดยมีรายได้ 374.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.08 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้อยู่ที่ 341.19 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.7% และมีอัตราการเช่า (Occupancy rate) มากกว่า 85% ที่สำคัญคือบริษัทย่อย “พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์” ได้ขายทรัพย์สินบางส่วนของ “บางกอกฟรีเทรดโซน” จำนวนกว่า 130,000 ตารางเมตร คิดเป็น 45% ของโครงการทั้งหมดเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (REIT) จำนวน 1,953.10 ล้านบาท มีกำไรจากการขายเป็นจำนวน 263.30 ล้านบาท นอกจากนี้ “พรอสเพคฯ” ยังคงเป็นผู้ถือหุ้น 100% ใน “บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด” จึงส่งผลให้มีรายได้จากการบริหารทรัพย์สินของกองทรัสต์นี้อีกด้วย”
นายวรสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า “ส่วนโครงการ “รักษ” ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม ซึ่งเป็นความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่ระหว่าง มั่นคงฯ, บำรุงราษฎร์ และ ไมเนอร์ฯ แม้จะมีความล่าช้าในการเปิดตัวจากวิกฤตดังกล่าว แต่บริษัทฯ กลับมีความมั่นใจในธุรกิจนี้ เนื่องจากผู้บริโภคต่างหันกลับมาให้ความสนใจการดูแลสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับแผนแนวทางยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศไทย (พ.ศ.2560-2569) เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็น Medical Hub และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Medical and Wellness Tourism โดยหลังจากที่เปิดให้บริการเพียง 2 เดือนได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าภายในประเทศ มีค่าสมาชิกกว่า 40 ล้านบาท นับเป็นสัญญาณที่ดีในการวางแผนการตลาดต่อไป”
ทั้งนี้ นายวรสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า “ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่มีรายได้ที่สม่ำเสมอและรายได้จากการให้บริการต่อรายได้จากการดำเนินการในทุกธุรกิจ (ไม่นับรวมรายได้จากการขายที่ดินเปล่า) ณ สิ้นปี 2563 คิดเป็น 29.4% เพิ่มขึ้น 4.5% จากสิ้นปี 2558 ที่สำคัญยังคงรักษาสภาพคล่อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ โดยในปี 2563 สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้ลดลง 107.39 ล้านบาท คิดเป็น 10.62%”