24 กุมภาพันธ์ 2564 : นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้พัฒนาสินค้าบริการคุณภาพมาตรฐานสูง ภายใต้มิชชั่น ‘สร้างเช้าที่ดีให้ลูกค้าทุกคน’ เปิดเผยว่า ในปีนี้ 2564 บริษัทจะเดินหน้าต่อเต็มสปีด โดยเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 8,000 ล้านบาท และ 8 โครงการแนวราบ มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของบริษัท แบ่งเป็น
1. บ้านราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด กับ บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ บนหลากหลายทำเลคุณภาพ ได้แก่ เพชรเกษม-ปิ่นเกล้า, ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ และวัชรพล-รามอินทรา
2. บ้านราคา 5-10 ล้านบาท เป็นบ้านแบรนด์ใหม่ ‘เวนิว ไอดี’ รองรับกลุ่มเป้าหมายคน Gen Y บนทำเลพระราม 5, เวสต์เกตุ, ศรีนครินทร์-บางนา
3. พร้อมกับโฮมออฟฟิศเริ่ม 5 ล้านบาท แบรนด์ ‘เวิร์คเพลส’ ทำเลรามคำแหง-วงแหวน กับทาวน์โฮมเริ่ม 2 ล้านบาท แบรนด์ ‘เวิร์ฟ’ ทำเลสายไหม-พหลโยธิน
ในส่วน ‘บ้านคนโสด’ บ้านซีรี่ส์พิเศษภายใต้แนวคิด ‘One Size doesn’t Fit All’ พร้อมเปิดจองครั้งแรกที่โครงการเวนิว พระราม 9 วันที่ 6-7 มี.ค. เป็นต้นไป
บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีสภาพคล่องสูงพร้อมรองรับการลงทุน ปัจจุบันมีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนที่บริษัทใช้มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินการ เงินกู้ยืมจากธนาคาร และการออกหุ้นกู้
นายอรรถพล กล่าวสรุปว่า “ ด้วยความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบกับความพร้อมในทุกด้านของ SC มั่นใจว่า ปี 2564 บริษัทจะประสบความสำเร็จเติบโตทั้งยอดขายและรายได้เช่นที่ผ่านมา โดยมาจากทั้งพอร์ตหลักของแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 58 โครงการ มูลค่าโครงการ 36,900 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 11 โครงการ มูลค่าโครงการ 20,600 ล้านบาท ”
สำหรับความสำเร็จของผลการดำเนินงานในปี 2563 นั้น SC สอบผ่านปีโควิดฉลุยด้วยกลยุทธ์เชิงรุกที่ปรับตัวอย่างรวดเร็วและยืดหยุ่น และการรักษามาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการ โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำสถิติสูงสุดทั้งรายได้และยอดขาย โดยมีรายได้รวม 19,051 ล้านบาท เติบโต 7% (YoY) เป็นรายได้จากการดำเนินงาน 18,977 ล้านบาท มาจากแนวราบที่เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 14,265 ล้านบาท เติบโต 27% (YoY)
สัดส่วนรายได้แบ่งเป็นรายได้จากการขายร้อยละ 95 และรายได้จากค่าเช่าและบริการร้อยละ 5 ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,898 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 0.46 บาท พร้อมกับยอดขายรวม 16,602 ล้านบาท เติบโต 15% (YoY) โดยมียอดขายรอโอน หรือ Backlog รวม 5,634 ล้านบาท 54% พร้อมโอนในปีนี้ ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2563 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมเท่ากับ 44,319 ล้านบาท และ 25,676 ล้านบาทตามลำดับ มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น เท่ากับ 4.46 บาท
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นขออนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564