23 กันยายน 2559 : นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รายงานนโยบายการเงิน ฉบับเดือนกันยายน 2559 ถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินและการประเมินภาวะเศรษฐกิจของ กนง. สรุปได้ดังนี้
ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2559 มีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าที่เคยประเมินไว้เล็กน้อย จากการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 ที่สูงกว่าคาดซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของปัจจัยชั่วคราว ขณะที่การขยายตัวของการส่งออกลดลงตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าคาด และภาคการท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบระยะสั้นจากปัจจัยในประเทศ ทั้งนี้ พัฒนาการสำคัญที่ กนง. ได้นำมาพิจารณาเพื่อประเมินภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า ได้แก่ (1) เศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้
จากผลของการลงประชามติออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Brexit) ที่ทำให้เศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชีย (2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้เนื่องจากได้รับผลกระทบระยะสั้นจากเหตุการณ์ระเบิดในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ในเดือนสิงหาคม และมาตรการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญ (3) ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่เคยประเมินไว้ และ(4) การใช้จ่ายภาครัฐในระยะต่อไปมีมากกว่าที่เคยประเมินไว้ท าให้โดยรวมเศรษฐกิจปี 2560 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงเดิม สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้เช่นกัน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงตลอดช่วงประมาณการตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ ปริมาณการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้เดิมตามเศรษฐกิจคู่ค้าที่ฟื้นตัวช้า และยังเผชิญการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ดีราคาสินค้าส่งออกบางประเภทเช่น ราคาสินค้าเกษตรที่สูงกว่าคาดช่วยชดเชยปริมาณการส่งออกที่ต่ำกว่าคาด ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในปี 2559 ใกล้เคียงเดิม
สำหรับการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไปมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมและภาคบริการที่ขยายตัว ขณะที่รายได้ในภาคการผลิตเพื่อส่งออกฟื้นตัวช้าตามการส่งออกสินค้าที่ซบเซา ทางด้านการใช้จ่ายภาครัฐในระยะต่อไปมีแนวโน้มเบิกจ่ายได้มากกว่าที่เคยประเมินไว้ เนื่องจากผลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญช่วยให้รัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายได้ต่อเนื่อง ทำให้โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่เดิมมีความไม่แน่นอนมีความชัดเจนมากขึ้น
สำหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาด ตามการส่งออกสินค้าที่ซบเซา ขณะที่การบริโภค และการส่งออกบริการที่ยังขยายตัว และนโยบายภาครัฐที่มีความต่อเนื่อง จะช่วยสนับสนุนการลงทุนบ้าง แต่เกิดขึ้นเฉพาะในบางภาคธุรกิจเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้นเล็กน้อย ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านต้นทุนลดลงตามราคาน้ำมันดิบ
สำหรับ ประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ กนง. ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2559 เล็กน้อยและคงประมาณการในปี 2560 พร้อมกับประเมินว่าความเสี่ยงด้านต่ำต่อประมาณการเศรษฐกิจมีมากขึ้น โดยปัจจัยลบมาจาก (1) Brexit ที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นภาคเอกชนและส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (2) ความเสี่ยงในภาคการเงินของจีน (3) ความสามารถของภาคเอกชนในการรองรับปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และ (4) ผลกระทบของการจัดระเบียบผู้ประกอบการตลาดทัวร์จีนต่อภาคการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี มีปัจจัยบวกที่อาจทำให้ประมาณการเศรษฐกิจขยายตัวสูงกว่ากรณีฐาน คือ การใช้จ่ายภาครัฐโดยเฉพาะโครงการลงทุนที่อาจทำได้เร็วและมากกว่าคาด รวมถึงผลของมาตรการภาครัฐต่อเศรษฐกิจที่อาจสูงกว่าที่คาด
นอกจากนี้ กนง. คงประมาณการอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2559 และ 2560 แต่ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2559 และ 2560 เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าคาดไว้เดิม โดยประเมินให้ความเสี่ยงต่อประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั้งสองโน้มไปด้านต่ำมากขึ้น สอดคล้องกับความเสี่ยงต่อประมาณการเศรษฐกิจ
การดำเนินนโยบายการเงิน ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม และ 14 กันยายน 2559 กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลาย และยังเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากอัตราดอกเบี้ยแท้จริงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อยู่ในระดับต่ำ และการระดมทุนโดยรวมของภาคธุรกิจและสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ยังขยายตัวได้ แม้ธุรกิจบางกลุ่มยังมีข้อจำกัดในการได้รับสินเชื่อ
ทั้งนี้ กนง. มีความเห็นว่าเงินบาทที่โน้มแข็งค่าขึ้นบ้างเมื่อเทียบกับสกุลคู่ค้าคู่แข่งสำคัญ อาจไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย กนง. เห็นว่าการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy space) ยังมีความสำคัญเพราะในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยอาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง และความไม่แน่นอนของทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ที่จะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนมากขึ้น
นอกจากนี้ กนง. เห็นว่ายังต้องติดตามความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน รวมทั้งพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่า (search for yield) จากการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานในระยะต่อไป กนง. เห็นว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อให้ภาวะการเงินโดยรวมเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ